จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลวงปู่เมตตาดูแลผมด้วยนะครับ ผมจะไปกราบครูอาจารย์ครับ..

หลวงปู่เมตตาดูแลผมด้วยนะครับ ผมจะไปกราบครูอาจารย์ครับ..

..ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังครับ อ่านพอสนุกๆ สบายๆนะครับผม

เมื่อช่วงก่อนที่จะถึงวันออกพรรษาที่ผ่านมาผมกลับบ้านครับ พระอาจารณ์วัดป่าที่บ้านผมครับ(บ้านนาแก อ.นาแก) ก็จะพาไปกราบครูอาจารย์ครับ
ที่หลักที่จะตั้งใจไปก็คือ วัดหลวงพ่อสอนครับ (หลวงพ่อสอน ชีวสุทโธ วัดป่าบ้านปลวก อ.สว่างแดนดิน

(รูปจากเว็บdhammajak.netครับ)
คณะเดินทาง มีด้วยกัน รถยนต์สามคันครับ มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสครับ ออกเดินทางแต่เช้า จากนาแกครับ
หลวงพ่อสอน ท่านเคยไปพักที่วัดป่าแถวนาแกครับ(ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะ ภูภ้ำพระครับ) พระอาจารย์วัดแถวบ้านเลยรู้จักกันครับ
พระอาจารย์เลยชวนกันไปกราบตอนออกพรรษาครับ

เส้นทางก็มาจากทางสกลนคร ตรงไป เลยอ.เมืองสว่างไป แล้วจะมีสี่แยก เลี้ยวขวาเข้าบ้านปลวกครับ




ผมจะนั่งหน้ากับพ่อครับ เป็นคนช่วยดูทางครับ ผมก็เปิดGPSมาจากนาแกเลยครับ
ในรถก็มีญาติโยมเคยมาแล้ว แต่ก็แค่พอจำทางได้ครับ
พอเลยตัวเมืองสว่างมานิดหนึง คนในรถก็บอกจะมีแยกเล็กๆนะ แล้วเลี้ยวขวาเข้าบ้านปลวกนะ
ในโทรศัพท์ผมก็บอกแบบนั้น เนื่องจากแยกมันเล็กๆเองครับ แต่ถนนมันใหญ่มาก
ผมก็บอกพ่อว่า"เตี่ยเบาๆ ใกล้จะถึงแล้ว เลี้ยวขวานะ" ผมก็แตะไหล่พ่อ

ฟิ้ววว....

ผมก็พูด"แยกมันเล็กจริงๆ"
พ่อก็ถามคนในรถว่า"เลยหรือยัง" คนในรถก็เริ่มไม่แน่ใจ ก็บอกว่า"คงยังไม่เลยมั้ง ลองไปอีก"
"มันแยกเมื่อกี้นะ เตี่ยเลยแล้วนะ" ผมบอก
คนในรถก็บอกงั้นก็ตรงไปอีกสักหน่อย ค่อยถามทางเขา แล้วตรงไปอีกไกลอยู่ครับ

ธรรมดารถคันหน้าที่ร่วมคณะกันจะขับช้ามากๆ เพราะตามกันไปยังไม่รู้จักทางครับ
แต่คราวนี้ คันผมเริ่มขับเร็ว ยังไงก็หาคันนำหน้าไม่เจอครับ

ก็จอดถามเขาบอกว่าเลยแล้ว แต่เข้าบ้านปลวกอีกทางนี้ได้
ก็เลี้ยวเข้าไป ทางแยกเล็กเยอะมากครับ ดียังพอมีGPSช่วยอยู่ แต่ก็จอดถามทางให้แน่ใจอยู่ครับ
ในใจผมก็คิดว่า กลัวพระอาจารย์จะไปถึงก่อนแล้ว กลัวพระอาจารย์จะรอ หรือจะไปกราบที่วัดอื่นที่ใกล้ๆก่อนครับ
ผมก็คิดไปต่างๆนาๆ ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ ว่าจะได้กราบครูอาจารย์ตามตารางดีๆซะหน่อย
ก็ตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงวัดในที่สุดครับ


แล้วก็โทรถามคุณน้าคนขับรถพระอาจารย์ว่าอยู่ไหน เขาก็บอกว่า"จอดรออยู่แยกที่เลี้ยวขวานั้นแหล่ะ จอดรออยู่"
ก็คือแยกที่ผมเลยมาครับ ก็บอกว่าตอนนี้ถึงวัดแล้วนะ เข้ามาเลย
ผมก็โล่งใจครับ ที่คันของเราไม่ได้มาสาย ในที่สุดก็พร้อมกันได้กราบหลวงพ่อครับ
หลวงพ่อรู้จักคณะเราอยู่แล้วครับ มีโยมอ.ท่านหนึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับหลวงพ่อด้วยครับ
หลวงพ่อก็เมตตาถาม แล้วก็สอนกัณฑ์เล็กๆครับ ผมเพิ่งเคยเจอหลวงพ่อครั้งแรกครับ แต่ใช่แหล่ะ 
ผมตั้งใจจะบวชที่วัดนี้ครับ ยิ่งกลับไปอ่านประวัติหลวงพ่อดูแล้ว ใช่แหล่ะ ผมไม่ผิดทางแน่ครับ

มาเล่าย้อนกลับอีกที มำไมเราถึงหลงกัน ตามกันมาตั้งแต่นาแก??
เพราะก่อนเข้าแยกจะมีปั๊มอยู่ครับก็จอดกัน ผมกับพ่อก็มองอีกคันอยู่ดีๆ 
พ่อบอกว่า"เขาออกไปแล้ว" เอ้า!เราก็รีบขึ้นรถ แล้วก็ได้ขับเลยแยกนั้นไปครับ
มาได้คุยกัน อีกคันบอกว่า เขาเลื่อนรถเข้าไปจอดอีกที่เฉยๆ เขายังไม่ได้ออกจากปั้มครับ เลยรู้ความจริงกัน 
และวัดหลวงพ่อสอน คณะวัดป่าบ้านผมก็มากันทุกปี ก็จะหลงทางทุกปีครับ

ถ้าผมบอกไปว่า "เตี่ย ต้นห้อยหลวงปู่อ่อนสามานะ แล้วต้นอาราธนาบอกหลวงปู่ก่อนออกมาแล้ว
คนที่ห้อยหลวงปู่มีประสบการณ์ หลงทาง แต่ถึงยังไงก็จะไม่เสียหายเรื่องเวลาเลยนะ"
พ่อผมคงจะไม่เชื่อครับ ในใจผมทีแรกก็จ่อไปแต่จะแก้ปัญหาหลงทางครับ จะต้องจอดถาม,ช่วยมองหาป้าย
แต่ตอนที่มาถึงที่แล้ว อีกคันยังไม่มาถึง ผมก็ถึงนึกเรื่องนี้ได้ครับ 
ผมก็เชื่อเองของผมส่วนหนึ่งว่า 
หลวงปู่ได้เมตตา ช่วยดูแลคณะรถของผมแล้ว
หลวงปู่ได้รับรู้ที่ผมอธิษฐานบอกหลวงปู่แล้ว ก่อนจะออกรถมาครับ.

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

สงกรานต์ปี2558เป็นไง มีอะไรใหม่แปลก มาจะเล่าให้ฟัง

สงกรานต์ปี2558เป็นไง มีอะไรใหม่แปลก มาจะเล่าให้ฟัง.

(ยกมาจากเฟซบุคครับ)



ตั้งแต่ผมเกิดมานะ ยังไม่เคยได้เห็นการเล่นสงกรานต์ที่เอาเป็นเอาตายมาก่อนเลยในชีวิต จนได้มาเจอที่ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา

...ผมตั้งใจอยากที่จะไปขายของในวันสงกรานต์นานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ถ.เข้าสาร เริ่มมีการขายข้าวไข่เจียวแรกๆ ราคาในตอนนั้นก็สัก10.- หรูมากแล้วครับ



และเวลาก็ได้ผ่านมาเรื่อยๆ ความพร้อมยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างเต็มประดา ป้าที่ผมสนิทอยู่ก็ทำร้านอาหารตามสั่ง ผมก็พอที่จะรู้ระบบ ส่วนเพื่อนผม ก็ทำกับข้าวเก่ง ก็น่าจะอร่อยพอประมาณ แต่เก่งนี่แก่งแน่ครับ ทำหมดแหล่ะ จะหน้าเตา จะหน้าเขียง จะส่งข้าว จะบริหารของ เป็นแนวร้านอาหารตามสั่ง ผมกับเพื่อนผมก็ขลุกมานานระดับหนึ่งครับ เราก็ได้คุยกันว่าจะไปขายข้าวไข่เจียว จะไปขายตั้งแต่งานสงกรานต์ ยันที่ชุมนุมม็อบของสีต่างๆ แต่ก็ผ่านมาเรื่อยๆ จนเพื่อนผมได้ไปทำงานที่อื่น สรุปว่าผมก็ไม่ได้ทำ

จนวันหนึ่ง วันที่14 เมษาของปีนี้ ผมได้ไปวัดเพื่อที่จะไปกราบหลวงปู่ในวันปีใหม่ครับ เพื่อเป็นสิริมงคลในวันเริ่มปี พอดีที่วัดเขาจัดงานกราบหลวงปู่ในวันสงกรานต์ครับ ผมก็ได้ไป วัดนี่แหล่ะ ปีก่อนๆที่ผมมา พอผมได้กราบหลวงปู่เสร็จ ผมได้เดินออกมาจากวัด ก็ได้ข้อความจากคนที่เคยคบกันว่า "พี่หนูจะไปแต่งงานแล้วนะ" 555พระเจ้า ผมเพิ่งทำบุญเสร็จ แล้วเจ้ากรรมนายใหญ่ผมก็ได้เลิกไปหนึ่งท่าน(พี่ผมสอนให้ผมคิดนะ ก็ดีนะ) ^_^

กลับมาๆ ณ ที่เวลาปัจจุบัน ปีนี้พอผมกราบหลวงปู่เสร็จ ผมก็เดินออกมาจากวัดที่ทางเดิมกับทางเข้าที่ได้เดินเข้ามา ก็ได้รับสายของรุ่นน้องที่สนิทว่า "พี่ ไปขายของกัน"
ผมก็ยังงๆ ว่ามันจะไปขายอะไรที่ไหน มันก็บอกว่า มันจะไปขายของงานสงกรานต์ ก็พวกดินสอพอง ขายน้ำดื่ม ขายนน้ำหวานพวกเนี๊ย
ผมก็บอก "ผมขอไปด้วย" ผมตื่นเต้นมากๆครับ ในชีวิตตอนโตผมยังไม่เคยได้ไปขายในงานเทศกาลใหญ่ๆแบบนี้เลยครับ ซึ่งผมได้ฝันไว้นานมากๆๆแล้วครับ

ผมก็ได้นัดกันกับน้องที่เดอะมอลล์งามวงศ์วานครับ ตอนนั้นผมอยู่ที่ปากเกร็ด ผมบอก
"เดี๋ยวผมนั่งรถไปหาเอง" กว่าจะถึงที่ขาย ก็ปาเข้าเที่ยงวันไปแล้วครับ แต่ที่ร้านที่นั้น มีพ่อแม่ของน้องอีกคน ตั้งโต๊ะ จองที่เอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว พอทีมผมไปถึง ก็เดินดูทำเลก่อน เดินดูฝากถนนก่อน ว่าทางไหนจะขายได้กว่ากัน ตรงไหนเป็นตรงที่รถผ่านแต่ไม่จอดต้องรีบขับไป ตรงไหนเป็นที่คนเดิน ตรงไหนเป็นตรงที่รถจอดเล่น แล้วก็ยืนดูอยู่สักพัก ว่าทำแล ตรงไหนเป็นยังไงฯลฯ สรุปแล้วก็ได้ทำเลฝั่งข้างคลองเป็นที่เรียบร้อย ถนนเส้นนั้นถึงพ่อค้าแม่ค้าจะเยอะ แต่ก็ยังพอมีที่วางขายและ ไม่มีปัญหาเรื่องแย่งที่ขายของกัน



ขออธิบายก่อนนะครับว่า แผงที่ขายของ จะเป็นโต๊ะพับโต๊ะหนึ่ง ปูแผ่นพลาสติกรอง แล้วก็มีร่มกันแดด อันใหญ่ๆหนึ่งอัน ของที่เอาไปขาย ก็จะเป็น ก้อนแป้งดินสอพองใส่ถุงเล็กๆ น้ำเปล่าขวดเล็ก น้ำหวานขวดเล็ก บุหรี่แบ่งขาย ประมาณนี้ น้องมันได้หุ้นกับเพื่อนข้างบ้านมัน ลงทุนซื้อของครับ

พอได้ทำเล ก็ขนของ ย้ายโต๊ะ ย้ายร่มกัน น้องมันก็เอารถอีกคันไปหาที่จอด ผมตั้งโต๊ะเสร็จก็ยืนเรียงของต่อ น้องคนหนึ่งที่มาด้วยกันก็เดินไปซื้อน้ำร้านข้างๆ อีกคนก็ไปซื้อปืนฉีดน้ำร้านข้างๆอีกร้าน เยี่ยมน้อง เรามาใหม่ มันต้องผูกมิตรแบบนี้ไว้ก่อน ตอนผมเรียงดินสอพองอยู่ จู่ๆก็มีเด็กเดินเข้ามาถามซื้อ เรียงๆไปยังไม่ทันเสร็จ ก็มีคนมาซื้ออีกแร๊ะ ทั้งที่ร้านข้างๆกันก็ขายดินสอพองเป็นถุงเหมือนกัน ถุงใหญ่กว่าด้วยครับ ร้านข้างๆก็มองดูผม ที่ทั้งขายทั้งยกมือไหว้ ไม่ใช่เพราะเรื่องนอกเหตุเหนือผลอะไรหรอกครับ คงจะเป็นเพราะ ผมตั้งร้านสะดุดตา ผมยืนเรียงของอยู่ ดูมันตั้งใจเวอร์เกินไป ก็สะดุดตาอีกครับ ดูเหมือนใส่ใจเกินไปครับ และก็ทำเลนั้น น่าจะเข้าท่าอยู่แล้วครับ ทำยังไงก็ได้ขายครับ
ที่เล่ามาทั้งหมดคือแค่เกริ่นนำนะครับ สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะเล่าจริงๆครับ



..เมื่อผมขายของไปได้สักพัก ผมจะใช้คำว่านั่งขายไม่ได้ครับ เพราะคนมันเดินไปเดินมาตลอด ผมต้องมอง ยิ้ม และเรียกบางทีครับ
ในถนนเส้นนั้น เกือบทั้งหมดจะมีแต่รถกระบะ ที่ขับกันไปครับ และก็มีคนเล่นอยู่หลังกระบะครับ แต่ก็จะมี มอเตอร์ไซด์ ได้แว้นมาเป็นครั้งคราว เมื่อวัยรุ่นเขาเจอรถมอเตอร์ไซด์ เขาก็จำทำท่าป้องหู แล้วอีกมือก็ทำท่า บิดคันเร่ง
คือเขาหมายความว่า ให้เบิ้นรถ โชว์หน่อยครับ แล้วคนขี่มอเตอร์ไซด์ จะทั้งแต่งไม่แต่ง จะรถซุปเปอร์ไบค์หรือเปล่า เขาก็จะเบิ้นรถให้เสียงดังๆแผดๆหูครับ แล้ววับรุ่นแถวนั้น ก็จะเฮครับ จะมีคนไปยกท้ายรถมอเตอร์ไซด์บ้าง เพื่อที่จะให้คนขี่เบิ้นรถ เพื่อเบิร์นยางรถ ให้ควันขึ้นครับ
ส่วนรถยนต์ ส่วนใหญ่ จะเป็นรถกระบะที่แต่งมาครับ ไม่เปลี่ยนแค่แมกซ์ให้เล็กลงกับยางที่แก้มยางเตี้ยลง ก็ลามไปถึงทำเครื่องครับ
บางคันก็จะเบิ้นโชว์ควันดำเฉยๆ บางคันก็จะทั้งเบิร์นยาง โชว์ทั้งควันดำ และควันยางใหม้ครับ ซึ่งเป็นสวรรค์ของมะเร็งครับ

แต่ถึงจะเสียงดัง ถึงจะเหม็นควัน ชนิดที่ด่าแม่คงไม่พอ ต้องด่าพ่อด้วย แต่วัยรุ่นที่ไปเล่นกันนั้น กลับส่งเสียเชียร์ เสียงเฮตลอด กับกิจกรรมพวกนี้
ซึ่งถ้าเกิดขี้นแถวๆบ้านผม ใครทำนั้นเขาจะไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่เขาจะรู้ว่าคนที่ทำเป็นลูกของใคร และก็รู้กันไปทั่วหมู่บ้าน จะมีชื่อเสียงไปถึงพ่อถึงแม่เลยทีเดียว

 

ผมไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์มานานกี่ปีก็จำไม่ได้แล้วครับ ความรู้สึกมันเลยวัยมานานมากแล้วครับ แต่ที่จำได้ก็คือ ไม่ว่าจะวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ช่วงหยุดช่วงนั้นก็จะไปเข้าที่วัดป่า ก็จะ Happy New Year ที่วัดนั้นแหล่ะครับ ที่ในวัดจะเฉยๆนะ ก็จะมีคนมาทำบุญมากเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะผมได้ทำกิจกรรมแบบนั้นซ้ำๆ มันเลยไม่ได้ไปตื่นเต้นอะไร กับเทศกาลประเภทนี้มั๊งครับ.
18/04/2556


(รูปทั้งหมด ผมไม่ได้ถ่ายเอานะครับ ขอรูปมาลงจากเว็บผู้จัดการครับ)